เครื่องปั๊มนมไฟฟ้าแตกต่างจากเครื่องบีบแบบมือ การเลือกใช้งานจึงต้องใส่ใจกับอุปกรณ์ทุกอย่าง เพราะเด็กทารกมีความไวต่อเชื้อโรค ร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรง ซึ่งความนิยมในการใช้เครื่องปั๊มน้ำนมในปัจจุบันแพร่หลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน การเลือกอุปกรณ์ชนิดนี้จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง หรือถุงเก็บน้ำนม นี่คือข้อแนะนำที่คุณแม่ควรนำไปใช้เพื่อพิจารณาว่าจะเลือกซื้อเป็นเครื่องปั๊มนมยี่ห้อไหนดี ที่มีคุณภาพ แบบวางใจว่าลูกน้อยจะปลอดภัยจากอันตรายจากสารปนเปื้อน รวมถึงความปลอดภัยของคุณแม่เองด้วย
เครื่องปั๊มนมยี่ห้อไหนดี จะดูอย่างไรก่อนตัดสินใจซื้อ?
อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าอุปกรณ์ชนิดนี้เป็นหนึ่งในตัวช่วยอันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยม ดังนั้นการพิจารณาก่อนเลือกซื้อ จะต้องดูงบประมาณของตัวเองก่อน เนื่องจากหลายยี่ห้อมีราคาที่ค่อนขางสูง อาจทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนต้องคิดหนักพอสมควร จะซื้อยี่ห้อที่มีราคาถูก ก็กลัวจะมีคุณภาพไม่ดี
สิ่งที่จะต้องสังเกตให้ดีคืออุปกรณ์จะต้องเป็นมือใหม่ ไม่ใช่เป็นมือสองที่นำมาขายต่อ โดยมีการระบุเอาไว้ว่า Single-use เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารอันตรายหรือเชื้อโรคปนเปื้อน เป็นสุขอนามัยที่ดีต่อลูกน้อยนั่นเอง
ในส่วนของตัวอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ จะต้องเลือกรุ่นที่ระบบปั๊มทำหน้าที่เลียนแบบการดูดของเด็กทารกได้ดี โดยปกติจะเป็นการออกแบบให้ใกล้เคียงกับการดูดของเด็กทารกในช่วงอายุเริ่มต้นที่ 6 สัปดาห์ ไม่เกิน 12 สัปดาห์ แรงดูดที่อธิบายเอาไว้ที่ฉลากสินค้าจะต้องไม่น้อยไปกว่า 200 mmHg รอบการดูดขั้นต่ำอยู่ที่ 40-60 รอบ/นาที อย่างไรก็ตามคุณแม่ที่ต้องเก็บสตอ.คในระยะยาว ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้น รอบดูดควรมากกว่า 40 ครั้ง/นาที เพื่อช่วยกระตุ้นให้น้ำนมออกมามาก ที่สำคัญวิธีใช้งานจะต้องไม่ยุ่งยาก ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน มีขนาดกรวยที่เข้าได้พอดีกับเต้านม เพื่อให้คุณแม่ไม่รู้สึกเจ็บบริเวณหัวนมและเต้านม ป้องกันการถลอกของผิวหนังด้วย ก่อนซื้ออาจจะให้พนักงานเช็คเครื่องให้ก่อนว่าเครื่องปั้มน้ำนมดังกล่าวมีเสียงดังจนรบกวนเวลาใช้งานหรือไม่ ให้เลือกชนิดที่เสียงไม่ดัง จะได้ไม่รบกวนลูกน้อยหรือคนอื่น ๆ รอบข้างด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกเครื่องปั้มนมไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี แนะนำว่าให้ลองพิจารณาจากข้อมูลข้างต้น อย่าเพิ่งเชื่อแค่ยี่ห้อหรือราคาเท่านั้น ให้ดูการใช้งานที่เหมาะสมประกอบการพิจารณาด้วย
ที่ปั๊มนมไฟฟ้าแบบเดี่ยวกับแบบคู่ ควรเลือกแบบไหน?
อุปกรณ์ที่ปั้มน้ำนมที่เป็นระบบไฟฟ้ามีให้เลือกทั้งแบบธรรมดาคือใช้ปั๊มเต้าเดียวและแบบสองเต้า ซึ่งขึ้นอยู่กับความสะดวกของคุณแม่เองเลยว่าจะใช้แบบไหน ซึ่งทั้งสองประเภทย่อยนี้มีการทำงานแบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดีกว่ากัน ก็ต้องดูไลฟ์สไตล์ของตัวเองในการใช้งาน ซึ่งแบบคู่จะช่วยประหยัดเวลาได้มากกว่า ปั๊มน้ำนมออกมาได้ปริมาณมากกว่าต่อครั้ง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าคุณแม่ผลิตน้ำนมได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเปรียบเทียบกน เครื่องปั๊มแบบเดี่ยวใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแต่ละเต้า ส่วนแบบคู่จะสามารถปั๊มพร้อมกันสองเต้า โดยใช้เวลาลดลงมาไม่ถึง 15 นาที ได้ปริมาณน้ำนมเท่ากัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะแบบปั๊มเดี่ยวหรือปั๊มคู่ ก็มีข้อดีไม่ต่างกันมากนัก นอกจากความรวดเร็วในการใช้งาน ถ้าคุณแม่บางคนที่ถนัดการใช้งานแบบกรวยเดี่ยวก็เลือกได้ เพียงแค่ต้องใช้เวลาเพิ่มในการรอเท่านั้นเอง
เลือกซื้อถุงเก็บน้ำนมที่ได้มาตรฐาน ดูจากอะไรบ้าง?
การเลือกถุงน้ำนมเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนี่คือบรรจุภัณฑ์ที่น้ำนมของคุณแม่จะถูกจัดเก็บเอาไว้ภายใน สัมผัสกับผิวถุงโดยตรง ถุงเก็บเหล่านี้จึงควรได้รับมาตรฐาน ไม่มีสารอันตรายตกค้างที่จะปนเปื้อนไปกับน้ำนม ดังนั้นนี่คือข้อควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ เมื่อคุณแม่เลือกเครื่องบีบระบบไฟฟ้าคุณภาพมาใช้แล้ว ก็จะต้องเลือกถุงน้ำนมที่ดี ด้วยข้อมูลเหล่านี้ที่ควรรู้
- วัสดุของสินค้า – ในด้านความปลอดภัยของวัสดุที่นำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ ควรมองหายี่ห้อที่ไม่มีส่วนประกอบของ BPA อยู่ด้วย ซึ่งสารชนิดนี้เป็นเคมีในทางอุตสาหกรรม มีอันตรายสำหรับเด็กทารก ถุงปั๊มที่ดีควรเขียนเอาไว้ว่า BPA Free จะปลอดภัยที่สุด
- ขนาดของถุงบรรจุ – ความจุของถุงมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป การเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งานให้พิจารณาจากปริมาณของน้ำนมคุณแม่ที่ปั๊มออกมาว่าโดยเฉลี่ยแล้วปั๊มในปริมาณเท่าไหร่ในแต่ละรอบ จะได้เลือกขนาดถุงเก็บที่เหมาะสม บรรจุได้พอดีกับน้ำนมที่ออกมานั่นเอง
- เลือกความหนาแน่นของถุงให้ดี – เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหรือฉีกขาดได้ง่าย ถุงเก็บน้ำนมที่ดีควรมีความหนาแน่น มีการซีลปิดผนึกที่ได้มาตรฐาน เพราะบางครั้งอาจจะต้องพกพาติดตัวออกไปนอกสถานที่ ระหว่างเดินทาง จะได้ไม่รั่วซึมเสียหายได้ง่าย
ทั้งนี้ เครื่องปั๊มน้ำนม และถุงเก็บน้ำนม ล้วนเป็นการเลือกซื้อสินค้าที่มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากเด็กทารกอยู่ในช่วงวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ คุณแม่ที่ต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ จะต้องศึกษาข้อมูลให้มากเข้าไว้ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด