ผลงานโดดเด่น พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ร่วมปิดจ๊อบ 3 คดีดัง

จิรภพ ภูริเดช

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช นำขุนพลร่วมสืบ – ลงพื้นที่ ปิดคดีโหด อาทิ กราดยิง –ผอ.กอล์ฟปล้นทอง-โกงพระจอมฯ

 

ร่วมเจาะลึก 3 คดีดังโหดที่ว่าปิดฉากได้ยากยิ่งกว่ายาก แต่สามารถสรุปปิดจ๊อบได้เพียงชั่วอึดใจ ผ่านสายตาอันเฉียบคม ภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.ต.จิรภพ หรือ รองก้อง

 

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช หนุมานหน้าหยกนำทีมบุกปราบฝ่ากระสุนเทอร์มินอล

เสียงปืนระห่ำดังกึกก้องสร้างความโกลาหลปกคลุมคละคลุ้งไปทั่วห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองนครราชสีมา เหตุโศกนาฏกรรมเขย่าขวัญชาวโคราชที่คนไทยไม่อาจลืมเลือน

 

เมื่อวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ณ ห้างเทอร์มินอล 21 ห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยและยิ่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดโคราช ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ไม่อาจลืม ร่วม 17 ชั่วโมงที่ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์สุดสะเทือนขวัญ ทุกพื้นที่สามารถได้ยินเสียงปืนนาทีต่อนาทีผ่านการถ่ายทอดสดของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ – ผู้สื่อข่าวต่างเฝ้าดูความเคลื่อนไหวและให้กำลังใจอยู่ด้านนอก เพียงฉากอิฐปูนกั้น ภายในมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคอยรายงานว่าตนเองหลบอยู่บริเวณใด ในขณะที่ผู้มือปืนยังคงเดินไปเดินมาภายในห้าง

 

ในที่สุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุดในประเทศไทยก็ได้เริ่มเปิดฉากปฏิบัติการณ์สยบเทอร์มินอล

รองก้องนำทีมหนุมานหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษสนธิกำลังกับหน่วยฉกาจระดับประเทศทั้งอรินทราช คอมมานโด นเรศวร และภาค 3 บุกช่วยชิงตัวประกันที่ติดอยู่ภายใน

 

จากสื่อปรากฏภาพ รองก้อง อยู่ด้านในของห้างขณะเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ที่ชั้น G เพื่อชิงตัวประกันที่หลบซ่อนตัวอยู่

โดยรองก้องหรือหน้ากองปราบยอมรับว่า ตนเองเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริง ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรเลย คิดอย่างเดียวต้องพาคนออกมาจากตรงนั้นให้ได้จึงตัดสินใจนำชุดหนุมานกองปราบ และกำลังหน่วยอื่น เข้าพื้นที่ช่วยเหลือพาผู้เคราะห์ร้ายออกมา

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้สามารถช่วยเหลือเหยื่อได้จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดและทันท่วงที

นอกจากคดีกราดยิงแล้วหากย้อนไทม์ไลน์ไปช่วงเดือนมกราคมปีเดียวกัน (2563) ก็ได้เกิดคดีร้อนแรงและเป็นที่จับตาอย่างมากของคนไทย นั่นก็คือ คดีกราดยิงผู้บริสุทธิ์เพื่อชิงทอง

 

14 วัน รวบตัวโจรปล้นทอง อุกอาจกลางห้างดัง จ.ลพบุรี

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 เดือนมกราคม ปี 2563 ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญคนไทยอีกครั้ง เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นกลางห้างโรบินสัน ลพบุรี ในช่วงเวลาที่ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอย มือปืนปริศนาสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงลายพรางใส่รองเท้าคอมแบ็ต สะพายเป้สีแดงขาว สวมโม่งปิดบังใบหน้าสนิทควงปืนสาดกระสุนไม่มีไว้หน้า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3 รายและบาดเจ็บ 4 ด้วยกัน

ก่อนเข้าจี้ชิงทองแล้วขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ สีขาว-แดงหลบหนีหายไป ซึ่งระหว่างนั้นได้มีข่าวแพร่สะพัดว่าคนร้ายมีโอกาสจะหลบหนีข้ามฝั่งไปยังประเทศกัมพูชาจึงมีการคุมเข้มตั้งด่านตรวจเข้มเส้นทางตะเข็บแนวชายแดน ได้มีการค้นรถทุกคันเพื่อเฝ้าระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งทางตำรวจยังแจ้งว่าไม่มีเบาะแสของคนร้าย

จนกระทั่งวันที่ 22 มกราคม 2563 จะมีรายงานการจับกุมโจรร้ายรายนี้ โดยมีชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานและอีกหลายหน่วย โดยได้ทำการซุ่มคอยจับตาขณะกำลังขับรถยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่นซีรีย์ 5 สีดำ ออกจากบ้านพัก ก่อนจู่โจมชาร์จตัวบริเวณทางหลวงสาย 311 ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ซึ่งหน่วยที่สามารถเข้าจับกุมคนร้ายได้ คือ หน่วยหนุมาน ที่ทาง รองก้อง ผู้บังคับการปราบปราม ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผู้กำกับการ 2 กองปราบปรามพ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์ ผู้กำกับการสนับสนุน กองบังคับการปราบปราม พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผู้กำกับการ 3 กองปราบปราม เร่งลงพื้นที่เพื่อสืบหาตัวโจรร้ายรายนี้ ที่น่าตกใจ คือ ผู้ก่อเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าวเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน ให้เหตุผลว่า  “รู้สึกเบื่อกับชีวิต ต้องการหาความท้าทาย ตื่นเต้น ชีวิตจะได้มีสีสัน ทั้งยังรู้ตัวว่าอย่างไรก็จะต้องโดนจับได้แน่นอน”

 

คดีดังกล่าวใช้เวลาในการสืบและจับตัวคนร้ายภายในเวลาเพียง 14 วันภายใต้การกุมบังเหียนของรองก้อง ก่อนที่ผู้บังคับการปราบปรามจะกล่าวปิดท้ายว่า
“ส่วนหนึ่งของการแกะรอยหาเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ต้องขอขอบคุณประชาชนชาวบ้านที่ให้ความร่วมมือช่วยแจ้งเบาะแสในครั้งนี้” เป็นการปิดฉากการตามล่าไอ้โม่งควงปืนชิงทองภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น
มีข่าวลือหนาหูว่า การที่ปล่อยข่าวว่าคนร้ายจะหนีออกทางชายแดนนั้น เป็นการทำให้คนร้ายตายใจ แต่ในความจริงก็ไม่อาจทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงได้ แต่ต้องชื่นชมทีมเจ้าหน้าที่ที่เดินเกมไว ทันใจและมาถูกทาง

ถัดมาจะขอย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2557 กับคดีดัง “โกงพระจอม ฯ พันล้าน”

มหากาพย์พระจอมฯ คดียักยอกเงิน 1.6 พันล้าน

ในตอนนั้นรองก้อง รักษาราชการแทน ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม (รรท.ผกก.1 บก.ป.) โดยสืบเนื่องจากทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก รศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียกเกี่ยวกับการที่เงิน กว่า 1,000 ล้านบาทสูญหายไปจากบัญชีธนาคาร ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2557

 

โดยพนักงานสอบสวนในคดี ระบุว่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม  น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ได้มการเสนอต่อคณะกรรมการของสถาบันเกี่ยวกับ ดอกเบี้ยของเงินกองกลาง โดย น.ส.อำพรเสนอว่า เงินกองกลางที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังนั้น ดอกเบี้ยที่ได้รับไม่งอกเงยจึงได้ขอทำเรื่องขออนุมัติถอนเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็คนำเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ โดยมีผู้จัดการสาขา คือ นายทรงกลด

วันถัดมาก็ถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซื้อแคชเชียร์เช็ค นำเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 80 ล้านบาท โดยนายทรงกลด ทำบัญชีปลอมขึ้นมา ตบแต่งบัญชี ทำให้ดูเหมือนว่ายอดเงินยังคงอยู่ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ความจริงยอดเงินทั้งหมดถูกถอนออกไปหมดแล้ว หลังจากตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 พบว่า มีการยักยอกเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,075,037,702 บาท

รองก้อง เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง พ.ต.ท.พงษ์ไสว ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้แล้วโดยพบว่าหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงผู้กระทำความผิดเบื้องต้นอย่างน้อย 2 คน ประกอบด้วย น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์โดยคดีดังกล่าวสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากเพราะเป็นสถานศึกษา

คดีดัง 3 คดีที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ที่หลายคนไม่รู้นั่นคือทุกคดีมี พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช หรือรองก้องเข้าร่วมรบอยู่ด้วยทุกสนาม